Makerspace Classroom กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศไทย เนื่องจากเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกันของนักเรียน การสร้าง Makerspace ในโรงเรียนไม่ได้เป็นเพียงแค่การจัดหาสถานที่ แต่เป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนในยุคดิจิทัล บทความนี้จะนำเสนอ 5 สิ่งสำคัญที่โรงเรียนควรมีเพื่อเริ่มต้น Makerspace Classroom ที่มีประสิทธิภาพในประเทศไทย
พื้นที่ที่ยืดหยุ่นและเอื้อต่อการสร้างสรรค์
การมีพื้นที่ที่เหมาะสมถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้าง Makerspace Classroom
ลักษณะของพื้นที่ Makerspace ที่เหมาะสม
พื้นที่ Makerspace ที่ดีควรมีลักษณะดังนี้:
- ความยืดหยุ่นในการใช้งาน: สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดวางได้อย่างง่ายดาย เพื่อรองรับกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การทำงานกลุ่ม การประดิษฐ์ชิ้นงานขนาดใหญ่ หรือการนำเสนอผลงาน ควรมีโต๊ะ เก้าอี้ และอุปกรณ์ที่เคลื่อนย้ายได้สะดวก
- ขนาดที่เพียงพอ: มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร เพื่อรองรับจำนวนนักเรียนและกิจกรรมที่หลากหลาย โดยคำนึงถึงพื้นที่สำหรับจัดเก็บวัสดุ อุปกรณ์ และพื้นที่สำหรับปฏิบัติงานจริง
- การจัดแสงและอากาศถ่ายเท: มีแสงสว่างที่เพียงพอ ทั้งแสงธรรมชาติและแสงจากหลอดไฟ เพื่อให้เอื้อต่อการทำงานที่ต้องใช้ความละเอียด และมีระบบระบายอากาศที่ดี เพื่อให้สภาพแวดล้อมในการทำงานสะดวกสบายและปลอดภัย
- ความเป็นสัดส่วน: อาจแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนต่างๆ เช่น โซนเครื่องมือและอุปกรณ์ โซนประกอบชิ้นงาน โซนนำเสนอผลงาน และโซนพักผ่อน เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมเป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ
- ความปลอดภัย: มีมาตรการความปลอดภัยที่เหมาะสม เช่น ระบบป้องกันอัคคีภัย อุปกรณ์ปฐมพยาบาล และการจัดเก็บเครื่องมืออย่างปลอดภัย

แนวทางการจัดสรรพื้นที่ Makerspace ในโรงเรียน
โรงเรียนสามารถปรับปรุงพื้นที่ที่มีอยู่ให้กลายเป็น Makerspace ได้ โดยอาจพิจารณาจากห้องเรียนว่าง ห้องสมุด หรือพื้นที่ส่วนกลางอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มที่ การจัดสรรพื้นที่อาจทำได้ดังนี้:
- การกำหนดโซนกิจกรรม: แบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนต่างๆ ตามประเภทของกิจกรรม เช่น
- โซนประดิษฐ์และสร้างสรรค์ (Fabrication Zone): สำหรับการตัด ต่อ ประกอบวัสดุ
- โซนเทคโนโลยีและดิจิทัล (Digital Zone): สำหรับการเขียนโปรแกรม การออกแบบดิจิทัล การใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- โซนนำเสนอและแบ่งปัน (Presentation Zone): สำหรับการนำเสนอผลงาน การพูดคุย และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
- โซนวัสดุและจัดเก็บ (Material & Storage Zone): สำหรับการจัดเก็บวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ
- การเลือกเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์: เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย ทนทาน และเหมาะสมกับการใช้งาน เช่น โต๊ะปรับระดับได้ เก้าอี้ล้อเลื่อน ชั้นวางของแบบเปิด
- การตกแต่งและสร้างบรรยากาศ: ตกแต่งพื้นที่ให้มีความน่าสนใจ สร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ อาจใช้สีสันสดใส ภาพวาด หรือผลงานของนักเรียนมาตกแต่ง
-
ห้องเรียน Maker Space
ชุดเรียนรู้ AI MAKERSPACE Showcase Kit
Price range: ฿239,000.00 through ฿299,000.00 Select options This product has multiple variants. The options may be chosen on the product page
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่หลากหลายและเหมาะสม
เครื่องมือและอุปกรณ์เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยให้นักเรียนสามารถลงมือปฏิบัติ สร้างสรรค์ และทดลองไอเดียต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ประเภทของเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ควรมี
โรงเรียนควรจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมความสนใจและความต้องการของนักเรียน โดยอาจแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้:
- เครื่องมือช่างพื้นฐาน: ค้อน ไขควง เลื่อย คีม เทปวัด กรรไกร
- เครื่องมือไฟฟ้าขนาดเล็ก: สว่านไฟฟ้า เลื่อยจิ๊กซอว์ขนาดเล็ก เครื่องเจียรขนาดเล็ก (พร้อมอุปกรณ์ความปลอดภัย)
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น: บอร์ดทดลอง วงจรไฟฟ้า ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ ไดโอด สายไฟ
- อุปกรณ์การเขียนโปรแกรมและหุ่นยนต์: ชุดหุ่นยนต์เพื่อการศึกษา เช่น Weeemake Makerspace kits, บอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ Arduino, Raspberry Pi, เซ็นเซอร์ต่างๆ
- เครื่องมือการออกแบบดิจิทัลและการพิมพ์ 3 มิติ: คอมพิวเตอร์พร้อมซอฟต์แวร์ออกแบบ (CAD), เครื่องพิมพ์ 3 มิติ, สแกนเนอร์ 3 มิติ
- วัสดุสิ้นเปลือง: ไม้ กระดาษ พลาสติก โลหะ สกรู น็อต สี กาว เทป

แนวทางการเลือกและการจัดการเครื่องมือและอุปกรณ์
ในการเลือกซื้อและจัดการเครื่องมือและอุปกรณ์ โรงเรียนควรพิจารณาดังนี้:
- ความปลอดภัย: เลือกเครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัย และจัดให้มีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่เหมาะสม เช่น แว่นตานิรภัย ถุงมือ ผ้ากันเปื้อน
- ความเหมาะสมกับวัยและระดับการศึกษา: เลือกเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของนักเรียนในแต่ละช่วงวัย
- ความทนทานและการบำรุงรักษา: เลือกเครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพดี ทนทาน และง่ายต่อการบำรุงรักษา
- การจัดเก็บที่เป็นระเบียบ: จัดเก็บเครื่องมือและอุปกรณ์ให้เป็นหมวดหมู่ มีป้ายชื่อชัดเจน และง่ายต่อการเข้าถึง เพื่อความสะดวกในการใช้งานและการตรวจสอบ
- การสอนการใช้งานอย่างถูกต้อง: จัดให้มีการสอนการใช้งานเครื่องมือและอุปกรณ์อย่างปลอดภัยและถูกต้อง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและให้ผู้เรียนสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักสูตรและกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ
Makerspace Classroom จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีหลักสูตรและกิจกรรมที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ (Hands-on Learning) และบูรณาการศาสตร์ต่างๆ (STEM Education)
แนวทางการออกแบบหลักสูตรและกิจกรรม
หลักสูตรและกิจกรรมใน Makerspace ควรมีลักษณะดังนี้:
- เน้นการเรียนรู้ผ่านโครงงาน (Project-Based Learning): ให้นักเรียนได้ทำงานในโครงงานที่ท้าทายและมีความหมาย โดยบูรณาการความรู้และทักษะจากหลากหลายสาขาวิชา
- ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม: เปิดโอกาสให้นักเรียนได้คิดค้น ทดลอง และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ โดยไม่มีข้อจำกัด
- พัฒนาทักษะการแก้ปัญหา: กระตุ้นให้นักเรียนเผชิญหน้ากับปัญหา วิเคราะห์หาสาเหตุ และคิดหาวิธีแก้ไขด้วยตนเองและร่วมกับผู้อื่น
- ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน: จัดกิจกรรมที่ต้องให้นักเรียนทำงานเป็นทีม แบ่งปันความรู้ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
- บูรณาการเทคโนโลยี: ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ และการนำเสนอผลงาน เช่น การเขียนโปรแกรมหุ่นยนต์ การออกแบบ 3 มิติ การสร้างแอปพลิเคชัน
- เชื่อมโยงกับชีวิตจริง: ออกแบบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือสถานการณ์ในชีวิตจริง เพื่อให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการเรียนรู้และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้

ตัวอย่างกิจกรรม Makerspace ที่น่าสนใจ
โรงเรียนสามารถนำกิจกรรม Makerspace ที่หลากหลายมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง เช่น:
- การสร้างหุ่นยนต์: ให้นักเรียนออกแบบ สร้าง และเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์เพื่อทำภารกิจต่างๆ โดยใช้ชุดหุ่นยนต์เพื่อการศึกษา เช่น ชุดหุ่นยนต์สำหรับเด็กเขียนโปรแกรม Weeemake
- การออกแบบและพิมพ์ 3 มิติ: ให้นักเรียนออกแบบโมเดล 3 มิติ และใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติเพื่อสร้างชิ้นงานจริง
- การสร้างสรรค์งานศิลปะดิจิทัล: ให้นักเรียนใช้ซอฟต์แวร์ออกแบบกราฟิก หรือโปรแกรมวาดภาพดิจิทัลเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน
- การพัฒนาแอปพลิเคชัน: ให้นักเรียนเรียนรู้พื้นฐานการเขียนโปรแกรมและพัฒนาแอปพลิเคชันอย่างง่าย
- การสร้างอุปกรณ์ IoT: ให้นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และสร้างอุปกรณ์ IoT อย่างง่าย เช่น ระบบควบคุมไฟอัจฉริยะ หรือระบบตรวจวัดสภาพอากาศ
- การแก้ไขปัญหาในชุมชน: ให้นักเรียนระบุปัญหาในชุมชน และใช้ความรู้และทักษะที่ได้จาก Makerspace ในการสร้างสรรค์โซลูชันเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น
ครูผู้สอนที่มีความรู้ความสามารถและใจเปิดกว้าง
ครูผู้สอนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน Makerspace Classroom ให้ประสบความสำเร็จ ครูไม่เพียงแต่เป็นผู้สอน แต่ยังเป็นผู้ facilitators ที่คอยกระตุ้น สนับสนุน และให้คำแนะนำแก่นักเรียน
คุณสมบัติของครูผู้สอนใน Makerspace
ครูผู้สอนใน Makerspace ควรมีคุณสมบัติดังนี้:
- มีความรู้ความเข้าใจในหลักการ STEM และ Makerspace: สามารถบูรณาการศาสตร์ต่างๆ และเข้าใจแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ
- มีทักษะในการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ: สามารถใช้งานเครื่องมือพื้นฐาน เครื่องมือไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และซอฟต์แวร์ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว
- มีทักษะการสอนแบบ Facilitator: สามารถกระตุ้นให้นักเรียนคิด แก้ปัญหา และเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำแนะนำและสนับสนุน
- มีความคิดสร้างสรรค์และเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ: สามารถออกแบบกิจกรรมที่น่าสนใจและปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้เหมาะสมกับความต้องการของนักเรียน
- มีทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น: สามารถทำงานร่วมกับครูท่านอื่นๆ ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก และชุมชน เพื่อพัฒนา Makerspace ให้มีประสิทธิภาพ
- มีความอดทนและใจเย็น: พร้อมที่จะสนับสนุนนักเรียนในการทดลอง ผิดพลาด และเรียนรู้จากประสบการณ์
แนวทางการพัฒนาครูผู้สอนสำหรับ Makerspace
โรงเรียนควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาครูผู้สอนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความรู้ความสามารถและทักษะที่จำเป็นสำหรับการจัดการเรียนรู้ใน Makerspace เช่น:
- การอบรมและพัฒนา: จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบ STEM และ Makerspace การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ การออกแบบกิจกรรม และการประเมินผล
- การศึกษาดูงาน: พาครูไปศึกษาดูงาน Makerspace ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และรับแรงบันดาลใจ
- การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้: สนับสนุนให้ครูเข้าร่วมชุมชนการเรียนรู้ (Professional Learning Community – PLC) เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดี
- การเชิญผู้เชี่ยวชาญ: เชิญผู้เชี่ยวชาญด้าน STEM และ Makerspace จากภายนอกมาให้ความรู้และคำแนะนำ
- การสนับสนุนด้านทรัพยากร: จัดหาทรัพยากรและสื่อการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับ STEM และ Makerspace ให้เพียงพอ
การสนับสนุนและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
การสร้าง Makerspace Classroom ให้ยั่งยืนต้องได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้บริหารโรงเรียน ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน H3 – บทบาทของภาคส่วนต่างๆ ในการสนับสนุน Makerspace
- ผู้บริหารโรงเรียน: ให้การสนับสนุนด้านนโยบาย งบประมาณ และทรัพยากรต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานของ Makerspace
- ครูผู้สอน: ทุ่มเทในการจัดการเรียนรู้ ออกแบบกิจกรรมที่น่าสนใจ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียน
- นักเรียน: มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ ลงมือปฏิบัติ และแบ่งปันความรู้กับเพื่อนร่วมชั้น
- ผู้ปกครอง: ให้การสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้ของบุตรหลานทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน อาจมีส่วนร่วมในการบริจาควัสดุ หรือเป็นวิทยากรในกิจกรรมต่างๆ
- ชุมชนและภาคเอกชน: ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ Makerspace
แนวทางการสร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วม
โรงเรียนสามารถสร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนได้ดังนี้:
- การสื่อสารและประชาสัมพันธ์: สื่อสารให้ทุกภาคส่วนเข้าใจถึงความสำคัญและประโยชน์ของ Makerspace ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การประชุมผู้ปกครอง เว็บไซต์โรงเรียน โซเชียลมีเดีย
- การจัดกิจกรรมร่วมกัน: จัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วม เช่น วันเปิด Makerspace นิทรรศการผลงานนักเรียน เวิร์คช็อปสำหรับผู้ปกครองและชุมชน
- การสร้างเครือข่าย: สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับโรงเรียนอื่นๆ ที่มี Makerspace ภาคเอกชน หรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
- การขอรับการสนับสนุน: แสวงหาการสนับสนุนด้านงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ หรือผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชน องค์กรต่างๆ หรือหน่วยงานภาครัฐ
สรุป
การเริ่มต้น Makerspace Classroom ในประเทศไทยต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ พื้นที่ที่ยืดหยุ่นและเอื้อต่อการสร้างสรรค์ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่หลากหลายและเหมาะสม หลักสูตรและกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ ครูผู้สอนที่มีความรู้ความสามารถและใจเปิดกว้าง และการสนับสนุนและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การลงทุนใน Makerspace ไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนาห้องเรียน แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21